วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การคืนธนบัตรของกลางคดียาเสพติด

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 8/2555
พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ)
             ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานสอบสวน ได้รับมอบธนบัตรที่ยึดมา เนื่องจากสงสัยว่าจะได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า จำนวน 1,314 ฉบับ รวมเป็นเงินจำนวน 453,490 บาท และได้ส่งไปตรวจพิสูจน์
             ระหว่างรอผลการตรวจพิสูจน์ ผู้ฟ้องคดีได้คืนธนบัตรให้แก่ผู้ที่ถูกยึดธนบัตรไป
             ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้ทราบผลการตรวจพิสูจน์ธนบัตรดังกล่าวจากกองกำกับการวิทยาการเขต ๙ จังหวัดนครสวรรค์ ว่ามีคราบยาเสพติดให้โทษติดอยู่ที่ธนบัตรทุกฉบับ กรณีจึงควรมีเหตุสงสัยว่าธนบัตรที่ตรวจยึดได้อาจเป็นทรัพย์ที่นาย ท. ได้มาโดยการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเป็นความผิดมูลฐาน ตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งหากผู้ใดโอน รับโอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มาซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้กระทำผิดฐานฟอกเงิน ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
             ดังนั้น ธนบัตรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดจากบ้านพักของนาย ท. และได้ตรวจพิสูจน์พบว่ามีคราบยาเสพติดให้โทษชนิดเมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้าติดอยู่ที่ธนบัตรดังกล่าวทุกฉบับนั้น เป็นพยานหลักฐานสำคัญเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในภายหลัง ซึ่งอาจใช้พิสูจน์การได้มาของธนบัตร และคราบยาเสพติดที่ตรวจพิสูจน์พบบนธนบัตรดังกล่าว และนำไปสู่กระบวนการในการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ต่อไป
            แต่ผู้ฟ้องคดีได้รับหนังสือและได้เก็บหนังสือฉบับดังกล่าวรวมไว้ในแฟ้มคดี โดยมิได้แจ้งหรือมิได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชา หรือรายงานตามแบบท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประสานงานในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 พ.ศ.2544 แต่อย่างใด
            การที่ผู้ฟ้องคดีคืนธนบัตรดังกล่าวให้แก่นาย ท. และภรรยาไปย่อมกระทบถึงการใช้ธนบัตรดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในภายหลัง และมีผลทำให้นาย ท. และภรรยาได้รับประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวของผู้ฟ้องคดี กรณีถือได้ว่า เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
            ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย