วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คำพิพากษาให้คืนทรัพย์สินแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3666/2553
ป.วิ.อ. มาตรา 85 วรรคหนึ่ง, 85 วรรคสาม, 132 (4), 186 (9), 249
               ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคหนึ่ง และ 132 (4) พนักงานสอบสวนมีอำนาจค้นและยึดสิ่งของซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ดังนั้น การที่พนักงานสอบสวนยึดทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องของโจทก์ไว้เป็นของกลาง จึงเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา 85 วรรคหนึ่ง และ 132 (4) ดังกล่าว และพนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ต้องคืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่นซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 วรรคสาม
              จึงเห็นได้ว่า เมื่อทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้เพื่อการสอบสวนและดำเนินคดีจนคดีถึงที่สุด การที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้คืนทรัพย์เหล่านี้แก่จำเลยที่ 1 ก็เป็นเพียงการวินิจฉัยและพิพากษาในเรื่องของกลางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9)  ซึ่งในคดีนี้ย่อมหมายถึง การพิพากษาถึงทรัพย์ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้นั้น ให้ดำเนินการโดยให้คืนแก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของ อันเป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนผู้ยึดทรัพย์ของกลางนี้ไว้เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวนั่นเอง
              โดยที่คดีนี้มิใช่คดีที่มีข้อหาหรือข้อกล่าวอ้างที่พิพาทกันว่า โจทก์ร่วมยึดถือหรือครอบครองทรัพย์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในอันที่จะพิจารณาและพิพากษาบังคับให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์นี้แก่จำเลยที่ 1 แต่อย่างใด คำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้คืนทรัพย์ของกลางตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องของโจทก์ จึงไม่ใช่คำพิพากษาบังคับในลักษณะให้โจทก์ร่วมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วยการคืนทรัพย์ของกลางนี้แก่จำเลยที่ 1
              ดังนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะขอให้ศาลบังคับคดีแก่โจทก์ร่วม เพื่อให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์ของกลางนี้แก่จำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 249 ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดี

             ข้อกฎหมาย.-
             ป.วิ.อ. มาตรา 85  เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้ มีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหา และยึดสิ่งของต่าง ๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้
             การค้นนั้นจักต้องทำโดยสุภาพ ถ้าค้นผู้หญิงต้องให้หญิงอื่นเป็นผู้ค้น
             สิ่งของใดที่ยึดไว้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็
ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่น ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น
             มาตรา 132  เพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมหลักฐาน ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจดั่งต่อไปนี้
             (1)  ....
             (2)  ค้นเพื่อพบสิ่งของ ซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทำผิด หรือได้ใช้หรือสงสัยว่าได้ใช้ในการกระทำผิด หรือซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยค้น
             (3)  หมายเรียกบุคคลซึ่งครอบครองสิ่งของ ซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ แต่บุคคลที่ถูกหมายเรียกไม่จำต้องมาเอง เมื่อจัดส่งสิ่งของมาตามหมายแล้ว ให้ถือเสมือนได้ปฏิบัติตามหมาย
             (4)  ยึดไว้ซึ่งสิ่งของที่ค้นพบหรือส่งมาดั่งกล่าวไว้ในอนุมาตรา (๒) และ (๓)
             มาตรา 186  คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องมีข้อสำคัญเหล่านี้เป็นอย่างน้อย
             (9)  คำวินิจฉัยของศาลในเรื่องของกลางหรือในเรื่องฟ้องทางแพ่ง
              มาตรา 249  คำพิพากษาหรือคำสั่งให้คืน หรือใช้ราคาทรัพย์สิน ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าธรรมเนียมนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
             ข้อพิจารณา.-
           -  เจ้าพนักงานตำรวจยึดทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องคดีร่วมกันลักทรัพย์ เป็นของกลางนำส่ง พงส.
           -  พงส. ยึดทรัพย์ของกลางไว้ในชั้นสอบสวนเพื่อดำเนินคดี และให้โจทก์ร่วมรับมอบทรัพย์ดังกล่าวไปเก็บรักษาไว้ในระหว่างดำเนินคดี
           -  เมื่อคดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษายืน ให้คืนทรัพย์ของกลางแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของ
           -  การสั่งให้คืน เป็นการวินิจฉัยในเรื่องของกลางตาม ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) พงส. ผู้ยึดทรัพย์ของกลางไว้ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา
           -  มิใช่คดีที่มีข้อหาหรือพิพาทกันว่า โจทก์ร่วมยึดถือหรือครอบครองทรัพย์ของกลางของจำเลยที่ 1 ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในอันที่จะพิจารณาและพิพากษาบังคับให้โจทก์ร่วมคืนของกลางให้แก่จำเลยที่ 1
           -  คำพิพากษาที่ให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์ของกลางแก่จำเลยที่ 1 จึงมิใช่คำพิพากษาบังคับในลักษณะให้โจทก์ร่วมเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ในอันที่จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาด้วยการคืนทรัพย์ของกลางนี้ให้แก่จำเลยที่ 1
           -  ดังนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมไม่ตกอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ที่จะขอให้ศาลบังคับคดีแก่โจทก์ร่วม เพื่อให้โจทก์ร่วมคืนทรัพย์ของกลางนี้แก่จำเลยที่ 1
           -  สรุป เป็นหน้าที่ พงส. ต้องนำทรัพย์ที่โจทก์ร่วมเก็บรักษานั้น มาคืนให้จำเลยที่ 1